4. นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla)
นิโคลา เทสลา (ค.ศ. 1856 – 1943) เป็นนักประดิษฐ์ นักฟิสิกส์ และวิศวกรไฟฟ้าชาวเซอร์เบียน-อเมริกัน เป็นผู้สร้างนวัตกรรมล้ำยุคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง สิทธิบัตรของเทสลาและผลงานเชิงทฤษฎีของเขากลายเป็นพื้นฐานของระบบไฟฟ้ากระแสสลับที่ใช้งานทั่วโลกในปัจจุบันได้แก่ ระบบจ่ายกำลังหลายเฟส และมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ เป็นผู้ประดิษฐ์และค้นพบเทคโนโลยีใหม่มากมาย เช่น ขดลวดเทสลา (Tesla coil) เครื่องวัดความเร็วติดรถยนต์ เครื่องกระจายเสียงผ่านวิทยุ วิธีการเปลี่ยนสนามแม่เหล็กเป็นสนามไฟฟ้าซึ่งเป็นที่มาของหน่วยวัดสนามแม่เหล็กเทสลาซึ่งวิศวกรรุ่นหลังตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา นอกจากนี้เขายังได้ศึกษาค้นคว้าเทคโนโลยีล้ำยุคเรื่องการส่งผ่านพลังงานแบบไร้สายหรือเทคโนโลยี wireless ที่ปัจจุบันกำลังเฟื่องฟู
เทสลาเป็นนักประดิษฐ์ยุคเดียวกันเอดิสันแถมยังเป็นคู่แข่งกัน เอดิสันสนับสนุนการใช้ไฟฟ้ากระแสตรงส่วนเทสลาพัฒนาไฟฟ้ากระแสสลับจนถึงกับเกิดสงครามกระแสไฟฟ้า (War of Currents) ซึ่งส่งผลต่ออุตสาหกรรมในยุคนั้นอย่างมาก เทสลามีแนวคิดล้ำยุคมีจินตนาการก้าวไกลเกินกว่าผู้คนยุคเดียวกันมาก เช่น เขามีแนวคิดจะทำโลกทั้งใบให้เป็นสื่อนำไฟฟ้าเพื่อให้สามารถส่งกระแสไฟฟ้าไปให้คนทุกคนในโลกได้ใช้กระแสไฟฟ้าอย่างเสรี หรือคิดสร้างอาวุธลำแสงมหาประลัยที่มีอานุภาพร้ายแรงขนาดแยกโลกของเราให้แตกออกเป็นสองส่วนได้ จนถูกเรียกว่านักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง (mad scientist) หลังจากเทสลาเสียชีวิต FBI ได้สั่งทุกฝ่ายว่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเทสลาต้องถูกจัดการอย่างลับที่สุด และต้องรักษาความลับของสิ่งประดิษฐ์ของเขาให้เป็นความลับตลอดไป นี่คือนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่แต่กลับไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่ากับผลงานของเขา เขาคือ ‘อัจฉริยะที่โลกลืม’
ผลงานเด่น :
– ประดิษฐ์ขดลวดเทสลา
– ประดิษฐ์มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
– ประดิษฐ์หลอดฟลูออเรสเซนต์
– คิดค้นวิธีการสื่อสารแบบไร้สาย
– คิดค้นรีโมตคอนโทรล
– ประดิษฐ์มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ
– ประดิษฐ์หลอดฟลูออเรสเซนต์
– คิดค้นวิธีการสื่อสารแบบไร้สาย
– คิดค้นรีโมตคอนโทรล
วาทะเด็ด :
– “If your hate could be turned into electricity, it would light up the whole world.” → หากความเกลียดชังของคุณสามารถเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าได้ มันคงจะทำให้โลกทั้งใบสว่างไสวเลยทีเดียว
– “The scientists of today think deeply instead of clearly. One must be sane to think clearly, but one can think deeply and be quite insane.” → นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้คิดแบบลึกซึ้งแทนที่จะคิดอย่างชัดแจ้ง คนเราต้องมีสติที่จะคิดอย่างชัดแจ้ง แต่ก็สามารถคิดให้ลึกซึ้งและบ้าคลั่งได้
– “The scientists of today think deeply instead of clearly. One must be sane to think clearly, but one can think deeply and be quite insane.” → นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้คิดแบบลึกซึ้งแทนที่จะคิดอย่างชัดแจ้ง คนเราต้องมีสติที่จะคิดอย่างชัดแจ้ง แต่ก็สามารถคิดให้ลึกซึ้งและบ้าคลั่งได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น